เคล็ดลับน่ารู้ • 29 พ.ค. 2024
รถยนต์สันดาปขับเคลื่อนได้ด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง แต่ในปัจจุบันน้ำมันมีราคาแพง และผันผวนอยู่ทุกวัน บางคนต้องใช้รถยนต์ในการทำงานเป็นหลัก
อาจต้องเตรียมค่าน้ำมันต่อเดือนมากกว่า 3,000 บาทเลยทีเดียว แล้วแบบนี้เราจะมีวิธีประหยัดน้ำมันอย่างไรบ้าง
วันนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับการขับรถประหยัดน้ำมันมีวิธีไหนบ้างที่ได้ผล ติดตามได้เลย
10 วิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ ปรับใช้ได้เห็นผลจริง

การขับรถให้ประหยัดน้ำมันนั้น ควรเริ่มต้นจากพฤติกรรมการขับขี่ของเรา ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องยนตโดยตรง
นอกจากนั้นยังมีเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์ตามระยะ โดยทั้งหมด 10 วิธีประหยัดน้ำมันมีรายละเอียดดังนี้
1. ไม่ออกรถกระชาก
การออกตัวแบบกระชาก หรือคิกดาวน์ทันทีที่ออกตัวเป็นพฤติกรรมที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันโดยใช่เหตุ อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการสึกหรอของเครื่องยนต์
และเกียร์ เพราะทุกครั้งที่เราเหยียบคันเร่งจนมิดทำให้เชื้อเพลิงถูกฉีกเข้าไปในห้องเครื่องมากกว่าการเหยียบคันเร่งแบบไล่ระดับ
นอกจากนี้ยังทำให้เกิดมลพิษมากขึ้นโดยเฉพาะในรถเครื่องยนต์ดีเซล ก่อให้เกิดควันดำมากกว่าช่วงเหยียบคันเร่งปกติ
ดังนั้นช่วงออกตัวค่อย ๆ เหยียบคันเร่งอย่างนุ่มนวล รอรอบเครื่องให้คงที่ตามลำดับดีที่สุด
2. ขับรถด้วยความเร็วคงที่
การขับรถด้วยความเร็วคงที่ และสม่ำเสมอ เป็นวิธีประหยัดน้ำมันมีประสิทธิภาพ และเห็นผลมากที่สุด โดยช่วงความเร็วที่แนะนำ
ควรอยู่ระหว่าง 80 - 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือว่าเป็นความเร็วที่เครื่องยนต์เผาผลาญเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
นอกจากนี้การใช้เกียร์ให้สอดคล้องกับความเร็วก็ช่วยได้เช่นกัน ป้องกันไม่ให้เครื่องยนต์เร่งรอบสูงเกินไป ส่วนการขับรถช้า ๆ
วิธีนี้ไม่ได้ช่วยให้ประหยัดน้ำมันแต่อย่างใด เพราะหลักสำคัญของข้อนี้คือความเร็วที่สม่ำเสมอ และคงที่ตลอดระยะทาง
3. ไม่เบรกรถกะทันหัน
การเบรกกะทันหันบ่อย ๆ เป็นเหตุที่ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันไม่แพ้การขับรถเร็ว เพราะทุกครั้งที่เราต้องเบรกแบบทันทีทันใดจะทำให้ความลดลงอย่างมาก
เมื่อขับต่อจะต้องเร่งความเร็ว กว่าจะได้ระดับที่เร็วเท่าเดิมก็ทำให้เสียเชื้องเพลิงไปพอสมควร ดังนั้นควรขับอย่างระมัดระวังคอยสังเกตความเร็ว
จากรถคันข้าง ๆ หรือประเมินจากสถานการณ์โดยรอบเพื่อให้เราขับขี่ได้อย่างเหมาะสม
4. ใส่เกียร์ว่างตอนรถติด
การใส่เกียร์ว่างตอนรถติด ช่วยลดการจ่ายน้ำมันเข้าเครื่องยนต์มากกว่าการเข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรก
วิธีนี้เห็นผลจริงตอนช่วงที่รถติดหนักจนขยับไม่ได้ แถมยังช่วยลดความเมื่อยเท้าจากการเหยียบเบรกนาน ๆ อีกด้วย
แต่ไม่แนะนำให้เข้าเกียร์ P เพราะจะทำให้เกียร์สึกหรอมากกว่าการเปลี่ยนเกียร์ว่างมาเป็นเกียร์ D
5. เช็กลมยางสม่ำเสมอ
การเติมให้เหมาะสมกับประเภทรถ ช่วยลดอัตราการกินน้ำมันได้จากการยึดเกาะถนนที่ดี กลับกันหากลมยางอ่อนเกินไป
ก็จะทำให้เราต้องเค้นแรงมากกว่าเดิน ส่งผลให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น ในขณะที่ลมยางแข็งเกินมากตรฐานก็ส่งผลให้
ยึดเกาะถนนได้ไม่ดีเช่นกัน โดยลมยางที่เหมาะสมกับประเภทรถยนต์มีดังนี้
- รถเก๋งขนาดเล็ก ควรเติมลมยางประมาณ 25 - 30 PSI
- รถเก๋งขนาดกลาง และ SUV ควรเติมลมยางประมาณ 30 - 35 PSI
- รถกระบะใช้งานทั่วไป ควรเติมลมยางประมาณ 35 - 40 PSI

6. เปิดแอร์อุณหภูมิที่เหมาะสม
การเปิดแอร์ให้เย็นพอดี ช่วยลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ และไม่กินแรงเครื่องยนต์ สามารถช่วยลดการใช้น้ำมันได้
มากกว่า 10 - 20% เลยทีเดียว และถ้าให้ดีควรหมั่นเช็กระบบแอร์เป็นประจำ เพื่อให้คอมเพรสเซอร์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. เช็กเครื่องยนต์สม่ำเสมอ
เพราะเครื่องยนต์เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนรถยนต์ จึงควรดูแลอย่างสม่ำเสมอ ซ่อม หรือเปลี่ยนอะไหล่ที่สำคัญตามระยะที่กำหนด
เป็นวิธีที่ช่วยถนอมเครื่องยนต็ได้เป็นอย่างดี โดยสิ่งที่ควรตรวจเช็กบ่อย คือ ระบบการจุดระเบิด สภาพหัวเทียนที่พร้อมใช้งาน
ไส้กรอกอากาศไม่ตัน และระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ เมื่อเครื่องยนต์ทำงานได้เต็มระบบก็จะใช้เชื้อเพลิงได้อย่างเหมาะสม
8. ขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น
การขนสัมภาระที่มากเกินความจำเป็น ทำให้เครื่องยนต์ต้องรับภาระมากขึ้นกว่าเดิม และนั่นทำให้เราต้องเหยียบคันเร่งมากขึ้นตามไปด้วย
ถ้าให้ดีควรขนสัมภาระเท่าที่จำเป็น หากต้องขนของครั้งละจำนวนมาก ๆ ควรจัดวางสิ่งของให้มีความสมดุล ไม่วางให้หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
และควรใช้ความเร็วไม่มากประมาณ 80 - 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี
9. ดับเครื่องเมื่อจอดรถ
รู้หรือไม่ว่าการจอดติดเครื่องนาน 5 นาที ทำให้เราสูญเสียน้ำมันไปประมาณ 100 cc. หากจอดติดเครื่องเฉย ๆ นานกว่านั้นก็จะสิ้นเปลืองน้ำมันไปเรื่อย ๆ
ดังนั้นหากรู้ตัวว่าต้องจอดนานเกิน 5 นาที แนะนำให้ดับเครื่องดีกว่า ประหยัดทั้งน้ำมัน และลดมลพิษในอากาศ
10. ถ่ายน้ำมันเครื่องตามระยะที่กำหนด
น้ำมันเครื่อง คือของเหลวสำคัญที่ช่วยหล่อลื่นเครื่องยนต์ให้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ทางผู้ผลิตรถยนต์กำหนดให้เปลี่ยนถ่ายทุก ๆ 5,000 -
10,000 กิโลเมตรหรือทุก 6 เดือน ซึ่งมีส่วนช่วยให้เครื่องยนต์เผาไหม้ได้สมบูรณ์ที่สุด เกิดคราบเขม่าน้ำ หากพบว่าน้ำมันเครื่องปริมาณลดลง
หรือสีเปลี่ยนก่อนกำหนด แนะนำให้เช็กอาการโดยช่างผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด

สรุปเกี่ยวกับวิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์
เป็นอย่างไรกันบ้างกับ 10 วิธีประหยัดน้ำมันรถยนต์ที่นำเสนอไปในวันนี้ หากมองภาพรวมทั้งหมดจะพบว่าส่วนใหญ่ล้วนมากจาพฤติกรรมการใช้รถทั้งสิ้น
เพราะการทำงานของเครื่องยนต์นั้นขึ้นอยู่กับวิธีใช้งานของผู้ขับขี่ หากใช้ความเร็วที่เหมาะสมขับขี่อย่างระมัดระวัง และหมั่นดูแลรักษาเป็นประจำ
ก็จะทำให้รถยนต์คันโปรดของคุณไม่สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างแน่นอน
อ้างอิง https://www.toyotasure.com/contentdetail/contentdetailsui/487